วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568

[Segment Routing (SR) Series #1] เข้าใจ MPLS – พื้นฐานก่อนก้าวสู่ Segment Routing

สรุปเนื้อหาจากหนังสือ Segment Routing for Service Provider and Enterprise Networks บทที่ 1

เกริ่นก่อนเลยนะครับ เนื้อหาที่เขียนลงนี้มาจากหนังสือ Cisco Segment Routing for Service Provider and Enterprise Networks ซึ่งใช้ AI เป็นคนสรุปจากเนื้อหาในหนังสือ และผมนำเนื้อหาทั้งหมดมารีวิวด้วยตัวเองอีกครั้ง เพื่อความถูกต้องและความเข้าใจได้ง่ายในการอ่านหรือเอาไว้ทบทวน

MPLS คือเทคโนโลยีเบื้องหลังระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการทั่วโลก และยังเป็นรากฐานของการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง Segment Routing (SR) ถ้าเข้าใจ MPLS ได้ คุณจะเข้าใจโครงสร้างของเครือข่ายระดับ Service Provider ทั้งหมด

1) MPLS คืออะไร?

MPLS (Multiprotocol Label Switching) คือเทคโนโลยีที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Layer 2 และ Layer 3 ของ OSI Model หน้าที่หลักของมันคือ “เร่งการส่งต่อข้อมูล” ด้วยการใช้ Label (ป้ายกำกับ) แทนการค้นหา IP เดิมในแต่ละ Hop

เมื่อแพ็กเก็ตเข้าสู่เครือข่าย MPLS มันจะถูก “ใส่ Label” เพื่อระบุเส้นทางที่ต้องไปข้างหน้า Router แต่ละตัวจึงไม่ต้องตรวจสอบ IP Address อีก เพียงดู Label แล้วส่งต่อ (Switch) ไปยังปลายทางได้ทันที

ผลลัพธ์คือ: เครือข่ายเร็วขึ้น, ใช้ทรัพยากรน้อยลง, และสามารถสร้างบริการ VPN, QoS, หรือ Traffic Engineering ได้บนโครงสร้างเดียวกัน


2) องค์ประกอบของระบบ MPLS

ประเภทหน้าที่หลัก
P Router (Provider/Core)
อยู่ในส่วนแกนกลางของเครือข่าย (Core Network) ทำหน้าที่ switch label เพื่อส่งต่อแพ็กเก็ตภายใน MPLS โดยไม่ต้องรู้เส้นทางของลูกค้า
PE Router (Provider Edge)เป็นจุดเชื่อมระหว่างเครือข่ายของลูกค้ากับระบบ MPLS ทำหน้าที่ push หรือ pop label ให้กับแพ็กเก็ตที่เข้าออกจากเครือข่าย
RR (Route Reflector)ทำหน้าที่กระจายข้อมูลเส้นทาง (BGP Route Distribution) ให้กับ PE หลายตัว เพื่อลดความซับซ้อนจากการทำ BGP Full Mesh
CE Router (Customer Edge)
อุปกรณ์เครือข่ายฝั่งลูกค้า (Customer Premises) ที่เชื่อมต่อเข้ากับ PE Router เพื่อส่งทราฟฟิกเข้าสู่ระบบ MPLS ของผู้ให้บริการ

โดยทั่วไป P Router จะไม่รู้ข้อมูล Routing ของลูกค้า (เรียกว่า BGP-free core) ส่วน PE Router จะเป็นจุดที่เชื่อมระหว่าง “โลกของลูกค้า” และ “โลกของ MPLS”


3) โครงสร้างของ Label MPLS

Label MPLS มีความยาว 32 บิต และวางอยู่ระหว่าง Layer 2 กับ Layer 3 Header

Fieldขนาดหน้าที่
Label20 bitsรหัสหลักระบุเส้นทาง
EXP3 bitsใช้ทำ QoS
BoS1 bitระบุว่าป้ายนี้เป็นอันสุดท้ายหรือไม่
TTL8 bitsป้องกัน loop ของแพ็กเก็ต

แพ็กเก็ตหนึ่งอาจมีหลาย Label ซ้อนกัน (เรียกว่า Label Stack) เช่น Label สำหรับ Transport ชั้นนอก และ Label สำหรับ Service ชั้นใน


4) วิธีการทำงานของ MPLS

ทุกอุปกรณ์ในระบบ MPLS จะประมวลผลแพ็กเก็ตผ่าน 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่:

  • PUSHIngress PE จะ “แปะ” label ลงบนแพ็กเก็ต เพื่อระบุเส้นทางที่ต้องไปต่อ
  • SWAPP Router ระหว่างทางจะเปลี่ยน label เดิมเป็น label ใหม่ เพื่อชี้เส้นทาง hop ถัดไป
  • POPEgress PE จะ “ถอด” label ออกจากแพ็กเก็ต ก่อนส่งออกไปยังปลายทางจริง

ตัวอย่างการเดินทางของแพ็กเก็ตใน MPLS network:

 Client → PE1 (PUSH) → P1 (SWAP) → P2 (SWAP) → PE2 (POP) → Destination 

จะเห็นว่า router แต่ละตัวไม่จำเป็นต้องสนใจ IP ของปลายทางอีกต่อไป เพียงแค่อ่าน label แล้วส่งต่อไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เส้นทางแบบนี้เรียกว่า LSP (Label Switched Path)


5) การแจกจ่าย Label ด้วย LDP

การแจก Label ระหว่าง Router ทำผ่าน LDP (Label Distribution Protocol) ทำงานบน TCP/UDP พอร์ต 646 เพื่อให้ Router ทุกตัวรู้ว่า “Prefix ไหนใช้ Label อะไร”

LDP มี 2 โหมด:

  • Unsolicited Downstream: เพื่อนส่ง Label มาให้ล่วงหน้า
  • Downstream on Demand: ขอ Label เมื่อจำเป็น

ตัวอย่าง: PE2 สร้าง Label 3 สำหรับ Prefix 10.0.10.1/32 → ส่งให้ P2 → P1 → PE1 กลายเป็น LSP ที่ต่อเนื่องตลอดเส้นทาง


6) บริการที่สร้างได้บน MPLS

MPLS ไม่ได้มีดีแค่ช่วยส่งต่อข้อมูลเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานของบริการเครือข่ายเสมือน (VPN Services) หลากหลายรูปแบบที่ผู้ให้บริการใช้งานจริง เช่น:

ประเภทบริการรายละเอียด
L3VPN (RFC 2547)แยกตาราง Routing ของลูกค้าแต่ละรายด้วย VRF (Virtual Routing and Forwarding)
L2VPN (RFC 4664)เชื่อมหลายไซต์ของลูกค้าเข้าด้วยกัน เหมือนอยู่ใน LAN เดียวกันผ่าน MPLS Backbone
mVPN (RFC 6513)รองรับการส่งข้อมูลแบบ Multicast ผ่านเครือข่าย MPLS
VRF (Virtual Routing and Forwarding) คือกลไกสำคัญที่ทำให้ลูกค้าหลายรายสามารถใช้ IP ซ้ำกันได้โดยไม่ชนกัน เพราะแต่ละ VRF มี Routing Table แยกของตัวเอง

7) การป้องกันความเสียหายและเส้นทางสำรอง

อีกหนึ่งจุดเด่นของ MPLS คือการรองรับกลไก Fast Reroute (FRR) ซึ่งสามารถสลับเส้นทางใหม่ได้ภายในเวลาไม่ถึง 50 มิลลิวินาที โดยใช้เทคนิค Loop-Free Alternate (LFA) เพื่อป้องกันไม่ให้ทราฟฟิกหยุดชะงักเมื่อเกิดลิงก์หรืออุปกรณ์เสีย

ระบบนี้ถูกออกแบบมาสำหรับงานที่ต้องการความต่อเนื่องสูง เช่น การให้บริการเสียง (VoIP) หรือวิดีโอ (Video Streaming) ซึ่งความล่าช้าเพียงไม่กี่มิลลิวินาทีอาจทำให้คุณภาพของบริการลดลงได้

8) ข้อจำกัดของ MPLS

แม้ว่า MPLS จะเป็นเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและใช้มานานหลายปี แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่เริ่มเห็นชัดในเครือข่ายยุคใหม่ขนาดใหญ่:

ปัญหาผลกระทบ
Label Space จำกัด (~1 ล้าน)ไม่เพียงพอสำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่มาก
การเชื่อมต่อข้าม AS (Inter-AS)ต้องใช้ BGP-LU หรือ Inter-AS Option A/B/C ซึ่งมีความซับซ้อนสูง
RSVP-TE มี State เยอะทำให้การขยายระบบ (scaling) ทำได้ยาก และต้องบริหารจัดการมาก
LDP/IGP Syncหาก LDP ยังไม่พร้อม ข้อมูลอาจสูญหายระหว่างการเปลี่ยนเส้นทาง
Load Balancingการทำ hash จาก Label อาจไม่กระจายเท่ากัน ทำให้ทราฟฟิกบางเส้นทางหนาแน่น

ข้อจำกัดเหล่านี้คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้เกิดเทคโนโลยีใหม่อย่าง Segment Routing (SR) ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของ MPLS และเพิ่มความสามารถในการขยายระบบในอนาคต

9) จาก MPLS สู่ยุคใหม่: Segment Routing

เพื่อแก้ข้อจำกัดเหล่านี้ จึงเกิดเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า Segment Routing (SR) ซึ่งใช้แนวคิด Source Routing — ให้ Router ต้นทางกำหนดเส้นทางล่วงหน้าในแพ็กเก็ตเลย ไม่ต้องใช้ LDP หรือ RSVP อีกต่อไป

Segment Routing มี 2 รูปแบบหลัก:

  • SR-MPLS – ใช้ Label เหมือนเดิม แต่แทนที่การแจกด้วย LDP ด้วย IGP-SID
  • SRv6 – ใช้ IPv6 Address แทน Label ทั้งหมด

ข้อดีของ SR:

  • ขยายได้ง่ายกว่า (Scalable)
  • ลดการ signaling
  • ควบคุมเส้นทางได้ละเอียดกว่า
  • พร้อมสำหรับเครือข่ายยุค Cloud และ Data Center

สรุปภาพรวม

หัวข้อสาระสำคัญ
MPLS คือการส่งต่อข้อมูลด้วย Label แทนการ Lookup IP
ข้อดีเร็ว, แยกลูกค้าได้, รองรับ QoS/TE
องค์ประกอบหลักPE, P, CE, RR
ปัญหาขยายยาก, Label จำกัด, ระบบซับซ้อน
วิวัฒนาการถัดไปSegment Routing (SR-MPLS และ SRv6)

บทส่งท้าย

MPLS เปรียบเหมือน “สะพานเชื่อมระหว่างยุค Routing แบบเดิมกับยุคอัตโนมัติ” มันเป็นรากฐานที่ช่วยให้เครือข่ายสามารถให้บริการที่หลากหลายได้อย่างเสถียรและรวดเร็ว แต่เมื่อความต้องการของระบบโตขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แนวคิดที่เรียบง่ายกว่าแต่ยืดหยุ่นกว่าก็เกิดขึ้น — นั่นคือ Segment Routing

ในบทต่อไปของซีรีส์นี้: SR-MPLS – วิวัฒนาการจาก MPLS สู่เครือข่ายที่ฉลาดกว่า
ซึ่งจะเห็นภาพว่า SR ช่วยลดความซับซ้อนของ MPLS ได้อย่างไร และเปิดทางสู่ Traffic Engineering แบบใหม่ที่ไม่มี LDP/RSVP อีกต่อไป 🚀

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น