วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Multihome แต่ละ option มีหลักเกณฑ์พิจารณาในการตัดสินใจเลือกใช้งานอย่างไร

การเลือกใช้ Multihome Option

ในที่นี้ไม่นับการใช้ static route เข้ามา apply เพื่อไม่ให้กรณีมันซับซ้อนเกินไป

Multihome
Option 1=Multihoming wth Default route from All Providers
Option 2=Mulihoming with Default routes and Partioal Table form All Providers
Option 3= Multihoming with Full Routes from All Providers

กรณีที่ 1
รับแต่ default route จากทุก ISP
  • ถ้าเรามีเราเตอร์ตัวเดียว ทำ BGP กับทุก ISP โดยปกติแล้วจะเลือก best path ได้เพียงเส้นทางเดียว แต่ถ้าใช้ hidden command ช่วย จะสามารถแชร์ load ออกหลาย ISP ได้ โดยมีข้อแม้ว่า AS path ของ default route ต้องมีจำนวน AS hop เท่ากัน
  • ถ้าเรามีเราเตอร์มากกว่า 1 ตัว รับ BGP default route ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องภายใน ชี้เกตเวย์ไปที่ตัวไหน ก็จะออก internet ที่ตัวนั้น ยกเว้นแต่ว่ามีการเซ็ต policy
  • ถ้ามีเราเตอร์มากกว่า 1 ตัว รับ BGP default route และมีอุปกรณ์ L3 (L3 switch หรือ router) ทำ dynamic routing protocol การทำ load sharing จะขึ้นอยู่กับฟีเจอร์ของ routing protocol, อุปกรณ์ L3 ภายใน network, และชนิดของ interface(มีผลกับค่า cost ของ IGP ยกเว้น RIP) เช่น equal-cost load balance, unequal-cost load balance
ข้อดี
  • Router ที่จะใช้กับกรณีนี้ ไม่ต้องใช้ spec สูงมาก ซึ่งก็เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
  • Config ง่ายไม่ยุ่งยาก
ข้อเสีย
  • เกิด Sub optimal path ในบาง Destination
  • ไม่ สามารถ control route ด้วยตัวเอง ได้ เนื่องจากเห็นแต่ default route

กรณีที่ 2 รับ BGP route บางส่วน และ default route (นิยมใช้กันส่วนใหญ่)
  • โดย default จะส่ง traffic ของ prefix นั้นไปบนวงจรของ ISP ที่ส่ง prefix นั้นมา ถ้ามีมากกว่า 1 ISP ที่ส่ง prefix นั้นมา ก็จะเลือกทางใดทางหนึ่ง(หรือ load balance ด้วยเงื่อนไขแบบเดียวกับกรณีที่ 1) traffic ที่เหลือก็ส่งไปทาง ISP รายใดรายหนึ่งที่ส่ง default route มา (หรือ load balance ด้วยเงื่อนไขแบบเดียวกับกรณีที่ 1)
  • หรือทำ route policy ว่าจะ prefer ISP รายใดรายหนึ่ง ที่ส่ง prefix นั้นมา และ traffic ที่เหลือก็ถูกจัดการตามกรณีที่ 1
  • จาก ประสบการณ์ prefix ที่รับมักจะเป็น domestic route ส่วนกรณีอื่นๆ ที่อาจจะเป็นไปได้ เช่น เลือกรับ route ที่ match AS path (origin หรือ transit AS) แต่ยังไม่เคยเห็นในการปฏิบัติ
ข้อดี
  • สามารถเลือก Best Route สำหรับบาง Destiantion ได้
  • ใช้ router ที่ spec กลางๆ ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยน Router ไหม่ที่ performance สูงมาก (ยังไงอ่าน spec ดูก่อน)
ข้อเสีย
  • Admin ต้องใช้ความรู้ ในการ Manage Route เยอะกว่า option 1

กรณีที่ 3 รับ full route ทุก ISP
  • จะ เลือกเส้นทางตาม best path (โดย default ก็ดู AS path เพราะค่าอย่างอื่นเท่ากัน) โดยอัตโนมัติ หรือจะทำ route policy สำหรับ prefix ไหนอย่างไรก็ได้เต็มที่ เหมาะกับกรณีที่เรามี ISP ที่หลากหลาย แต่ละ ISP มี upstream provider ต่างๆ กันไป และมีเราเตอร์ที่มี performance สูงพอที่จะเก็บ และประมวลผล BGP route เหล่านี้ได้
  • ถ้า เมื่อก่อนเกือบทุก ISP ต้องเชื่อมต่อผ่าน CAT ถึงรับ BGP full route มายังไงสุดท้ายก็ผ่าน gateway เดียวกันคือ CAT ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรับ full route แต่เดี๋ยวนี้ระบบ internet gateway ของเมืองไทยหลากหลายขึ้นมากๆ
ข้อดี
  • เมื่อรับ Full Route มา เราสามารถ Control Traffic ขาเข้า ขาออก ได้ เป็น per distination ,จะทำท่าประหลาดๆ อะไร ก็ทำได้มากมาย
ข้อเสีย
  • Router ที่จะมารับ Full Route ต้อง เป็นรุ่นใหญ่ Spec สูง มี Memory เยอะ เช่น 7200 หรือ model อื่นๆ ต้องอ่านตาม Spec ว่ารับได้ กี่ route ซึ่งหมายถึงเราจะต้อง เสียค่าใช้จ่าย ในการซื้อ Router เพิ่มถ้า Router เดิมขอเรามี performance ไม่พอ
Credit By CiscoClub..

2 ความคิดเห็น:

  1. "เมื่อก่อนเกือบทุก ISP ต้องเชื่อมต่อผ่าน CAT ถึงรับ BGP full route มายังไงสุดท้ายก็ผ่าน gateway เดียวกันคือ CAT"

    เป็นประวัติศาสตร์นิดหน่อย ทุก ISP ต้องผ่าน CAT ก็จริง (ไม่นับเส้นทางที่แอบๆ ต่อ และดาวเทียมที่อาจจะมีการต่ออย่างถูกต้อง) แต่ลักษณะวงจรที่ผ่าน CAT หรือ Optical Fiber ของ CAT มีสองแบบ แบบหนึ่งเป็นบริการ​ IIG ซึ่งทำ IP routing กับ CAT กับบริการอีกประเภทหนึ่งคือ IPLC ใช้ media ผ่าน CAT แต่ทำ routing กับผู้ให้บริการต่างประเทศ ดังนั้นแม้จะเป็นในอดีตกาลนานโพ้น การรับ full route ก็ยังสร้างผลแตกต่างได้ ถ้าอยากจะทำ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณสำหรับ Addition ดีๆครับพี่แป๊ะ

      ลบ